result_01

  • เด็กเบรนสคูลจะมีความเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่น ไม่ซ้ำใครเพราะเด็กได้รับการเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่
  • เด็กจะมีความคิดที่เป็นเหตุผลขึ้น เด็กๆจะมีคำถามต่อสิ่งต่างๆรอบตัว
  • เด็กๆจะกระตือรือร้นในการเรียนรู้ อยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง
  • เด็กจะสามารถหาคำตอบที่หลากหลายให้กับคำถามหนึ่งคำถาม
  • เด็กที่เคยแต่เป็นคนที่ทำตามคำบอกจะกลายเป็นผู้ริเริ่มทำด้วยตัวเอง
  • เด็กที่มักได้รับการตามใจจะได้เรียนรู้การนึกถึงและเคารพผู้อื่น
  • เด็กที่ไม่ชอบการคิดจะถูกกระตุ้นให้พูดอย่างสมัครใจว่า “หนูคิดว่า…”

result_02

  • ไม่ได้สอนคำตอบแต่สอนกระบวนการคิด
  • มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดกันในกลุ่มเล็กๆ
  • ประกอบด้วยเด็กจำนวนไม่มาก
  • ใช้เนื้อหาการสอนที่มีระดับต่างๆ กันตามอายุ
  • รวบรวมความคิดของเด็ก ผ่านทางผู้สอนที่เชี่ยวชาญในการวิจัย
  • ใช้สื่อการสอนที่เป็นวัตถุจริง
  • มีสื่อทางภาพและเสียงที่หลากหลาย
  • เน้นกระบวนการและแนวความคิด ไม่ใช่ผลลัพธ์
  • ชักนำให้เด็ก ทำความเข้าใจและสรุปได้โดยธรรมชาติ

result_03

1.หลักสูตรที่โดดเด่น เบรนสคูลเป็นหลักสูตรพัฒนาทักษะการคิดที่ถูกออกแบบมาอย่างเป็นระบบหลักสูตรเขียนขึ้นเพื่อพัฒนาการคิดจากระดับง่ายไปสู่ระดับที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยทีมวิจัยกว่า40ท่าน โดยมีผลงานวิจัยรองรับว่าสามารถเพิ่มขีดความสามารถทางการคิดให้กับเด็กๆได้อย่างแท้จริง

หลักสูตรของเบรนสคูลเป็นหลักสูตรบูรณาการ เนื่องจากการเรียนรู้เฉพาะทางของเด็กจะปรากฏให้เห็นในช่วงประถมปลาย แต่ในปฐมวัยนี้พัฒนาการของเด็กจะไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ ดังนั้นหลักสูตรของ Brain School จะบูรณาการเนื้อหาต่างๆ ทางด้านภาษา สังคม คณิตศาสตร์ ,วิทยาศาสตร์ ศิลปะ การประดิษฐ์ ดนตรี และกิจกรรมทางด้านร่างกายเข้าด้วยกัน

หลักสูตรของเบรนสคูลเป็นเพียงหลักสูตรเดียวในประเทศไทยที่มีการกระตุ้นสมองทั้งสองซีกไปพร้อมๆกัน

2.กิจกรรมเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กอย่างแท้จริง เบรนสคูลจะแบ่งเด็กตามพัฒนาการ โดยเด็กๆที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะมีอายุห่างกันไม่เกิน6เดือน ทำให้หลักสูตรของเราไม่ง่ายเกินไปจนทำให้เด็กๆเบื่อหน่ายและไม่ได้รับการกระตุ้นใดๆ และไม่ยากเกินไปจนทำให้เด็กๆไม่เข้าใจจนสูญเสียความมั่นใจ

เนื่องจากประเภทของความสามารถและทักษะทางการคิดของเด็กจะแตกต่างกันไปตามอายุ โดยเด็กแต่ละวัยจะได้เรียนทักษะการคิดที่แตกต่างกันดังนี้

3.การเรียนการสอนเป็นกลุ่มย่อย 4-6คน

การจัดกลุ่มของเบรนสคูลเป็นการรวมข้อดีของการเรียนตัวต่อตัวและการเรียนเป็นกลุ่มใหญ่เข้าด้วยกันซึ่งเป็นการนำข้อได้เปรียบของการเรียนแบบตัวต่อตัว และการเรียนแบบเป็นกลุ่มใหญ่ การเรียนแบบตัวต่อตัวจะมีการแนะแนวหรือเคราะห์เด็กได้เป็นรายบุคคลแต่เด็กจะขาดการปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้เกี่ยวกับการเคารพกฎระเบียบสังคม ส่วนในการเรียนรู้แบบกลุ่มใหญ่ ผู้สอนจะไม่สามารถสังเกตการตอบสนองและพัฒนาการของเด็กได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นชั้นเรียน 4-6 คน จึงเหมาะสมที่สุดสำหรับการเรียนรู้ทักษะการคิดสำหรับเด็กปฐมวัย

การเรียนเป็นกลุ่มเล็ก จะทำให้นักเรียนแต่ละคนได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างทั่วถึง เพราะหลักสูตรกระตุ้นความคิดสำหรับเด็กเล็กที่ถูกต้อง ในแต่ละกิจกรรมที่ครูเตรียมมาให้เด็กๆได้คิดได้ทำนั้น ครูกับนักเรียนจะต้องมีการถามตอบและมีปฏิสัมพันธ์อื่นๆร่วมกันตลอดทั้งชั่วโมง โดยที่คำถามต่างๆที่มาจากคุณครูนั้น นักเรียนจะได้คิดตาม คิดแบบเชื่อมโยง และได้ลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่ทำให้เด็กๆชอบการมาเรียนที่ BrainSchool นั้นก็คือ การที่พวกเค้าได้ใช้ความคิดไปกับกิจกรรมที่พวกเค้าได้ทำ และสนุกกับความคิดของตัวเองค่ะ

4.ใช้วีธีการสอนอย่างสร้างสรรค์ ในการดำเนินการสอนครูของเบรนสคูลจะคำนึงถึงจิตวิทยาของเด็กและการกระตุ้นให้เด็กได้ฝึกทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ โดยผู้สอนจะไม่ทำหน้าที่ให้ความรู้หรือเป็นผู้อธิบายเนื้อหาแต่เพียงผู้เดียว หากแต่จะคอยทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำและกระตุ้นให้เด็กพัฒนาทักษะการคิดโดยการใช้คำถามที่เหมาะสม ดังนั้นจะเป็นการใช้คำถามที่เปิดกว้างสำหรับเด็กในการตอบ (ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของวัยของเด็กด้วย) เช่น อะไรทำให้หนูคิดอย่างนี้ เราจะแก้ปัญหานี้ในทางที่ดีกว่าได้อย่างไร นอกเหนือจากการใช้คำถามแล้วเด็กยังได้มีการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียนรู้ สำรวจ และค้นพบความรู้และประสบการณ์จากวัตถุจริง รวมทั้งให้โอกาสเด็กได้ใช้จินตนาการและฝึกการใช้เหตุผลต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ในกระบวนการเรียนรู้ (ซึ่งบางครั้งเหตุผลของเด็กอาจจะฟังดูไม่เข้าทีสำหรับผู้ใหญ่ก็ตาม) ซึ่งการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบนี้จะช่วยกระตุ้นให้เด็กกล้าแสดงออก มีความกระตือรือร้นและมีความมั่นใจที่จะคิดให้แตกต่างจากกรอบทำให้เขาได้ฝึกฝนทักษะการคิดได้อย่างเต็มที่

5.มีกิจกรรมและสื่อการสอนที่หลากหลาย เบรนสคูลนำเสนอวิธีการสอนที่หลากหลายทำให้เด็กๆไม่เบื่อและตื่นเต้นที่จะได้มาเรียนอยู่เสมอ นอกจากนั้นเราใช้สื่อการสอนของจริง (real-object based) นับพันประเภทมาเป็นตัวช่วยในการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ

การเรียนรู้ของเด็กในปฐมวัยไม่สามารถใช้สื่อการสอนที่เป็นนามธรรม หรือคำอธิบายเพียงอย่างเดียวได้ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดจึงจำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ เข้าช่วย ได้แก่ การสัมผัส การดมกลิ่น การฟัง ซึ่งการได้สัมผัสวัตถุจริงจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงได้ออกแบบให้เด็กได้เรียนรู้และมีประสบการณ์กับวัตถุจริง นอกจากนั้นยังมีการใช้สื่อภาพและเสียง เช่น เครื่องฉายข้ามศีรษะ ซีดีรอม วีดีโอ สไลด์ ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศในการเรียนรู้ของเด็กได้มีรูปแบบที่หลากหลาย

การใช้สื่อการเรียนการสอนที่เป็นของจริงที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จะทำให้เด็กๆสามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงได้ดีกว่า และเนื่องจากสื่อการเรียนการสอนประเภทนี้เป็นสื่อที่สามารถเล่นได้หลากหลายวิธี จึงเป็นสื่อที่กระตุ้นกระบวนการคิดได้ดีกว่าของเล่นที่ตายตัวหรือเกมส์การศึกษาที่มีวิธีเล่นที่ตายตัว

ตารางการเปรียบเทียบรูปแบบการเรียนของปฐมวัยทั่วๆไป กับรูปแบบการเรียนของ Brain School

ลักษณะ ชั้นเรียนทั่วๆ ไป ชั้นเรียนของ Brain School
วัตถุประสงค์ – เรียนเพื่อสอบ หรือเน้นสร้างอัจฉริยะ – สอนให้เด็กใช้ทักษะการคิดในการดำรงชีวิต
วิธีการสอน – ผู้สอนเป็นผู้อธิบายเนื้อหาเป็นหลัก – เด็กและครูผู้สอนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน
เนื้อหา – ข้อมูลเนื้อหามักจะเป็นเนื้อหาทาง วิชาการที่เด็กควรจะได้เรียนรู้และเน้นปริมาณของเนื้อหา – เนื้อหาหลักจะมุ่งเน้นการกระตุ้นเพื่อพัฒนาทักษะการคิดและเน้นคุณภาพของเนื้อหา
ผู้สอน – ทำหน้าที่ถ่ายทอดและอธิบายเนื้อหา
– ตั้งคำถามที่ถามจะเป็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาการที่ผู้สอนได้ถ่ายทอดให้
– ผู้สอนจะเป็นผู้ตรวจสอบว่าคำตอบของเด็กนั้น ถูก หรือ ผิด
– ทำหน้าที่ในการทำกิจกรรมร่วมกับเด็กขณะเดียวกันใช้คำถามที่เหมาะสมเพื่อเป็นสื่อในการกระตุ้นทักษะทางการคิด
– ตั้งคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดโดยคำถามส่วนใหญ่มีหลายแนวทางในการตอบ
เด็ก – เป็นผู้รับความรู้ที่ผู้สอนถ่ายทอดให้ – มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมในชั้นซึ่งมีผลให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
– มีส่วนร่วมในการทำความเข้าใจ สำรวจทางเลือก และตั้งคำถามเกี่ยวกับการคิดแบบต่างๆ
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับเด็ก – มีปฏิสัมพันธ์น้อยระหว่างผู้สอนกับเด็ก – ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับเด็กเป็นแกนหลักของการเรียนการสอน
ลักษณะเฉพาะ – เนื้อหาทางวิชาการที่ต้องถ่ายทอดให้เด็กคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
– เด็กจะได้เรียนรู้เนื้อหาที่มีการถ่ายทอดจากตำราและจากผู้เรียนรุ่นก่อน
– ผู้สอนจะสอนเด็กให้รู้ว่าจะใช้ความรู้ที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงเมื่อ ไร อย่างไร และด้วยเหตุใด
– สิ่งสำคัญที่สุดคือการสอนวิธีการคิด
– เด็กจะได้เรียนรู้ทักษะการคิด กล้าใช้เหตุผล กล้าแสดงความคิดเห็นกล้าคิดกล้าคิดให้แตกต่างจากกรอบ มีความมั่นใจในการค้นหาคำตอบในวิธีต่างๆมากกว่าจะใช้ความรู้เดิมที่ถ่ายทอดกันมา
– เนื่องจากเด็กได้รับการเรียนรู้จากกระบวนการเรียนรู้อย่างมีความหมายทำให้สามารถนำความรู้ที่เรียนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ